วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

ประโยชน์ และคุณค่า ของอาหารเจ

เทศกาลกินเจเป็นเทศกาลที่สืบเนื่องกันมานานนะค่ะ แต่หลายคนทราบไหมค่ะว่าอาหารเจที่ทุกคนทานในเวลาสิบวันนี้ให้ประโยชน์คุณค่าอะไรแก่เราบ้างการกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลและรักษาประเพณีแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้

ในการกินเจเราจะ ปฏิบัติตามกฏนั่นก็คือ งดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และผักบางประเภท นุ่งขาวห่มขาว นับถือศีล 5 ทำจิตใจให้บริสุทธิ์

- งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์
- งดอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึงอาหารเผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก
- งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ สิ่งเสพติดและของมึนเมาต่างๆ


จึงทำให้หลายคนอาจคิดไปว่าถ้าเรางดอาหารเหล่านี้แล้วเราจะได้ประโยชน์และคุณค่าอาหารจากไหนมาทดแทน ไม่ยากค่ะเรามีคำตอบมาให้ค่ะ

โปรตีน
 มีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย และแก่ก่อนวัย โปรตีนในอาหารเจ มีมากในอาหารที่ทำมาจาก ถั่วเหลือง ได้แก่ เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ เต้าเจี้ยว โปรตีนเกษตร ฯลฯ และโปรตีน ยังมีมากใน เมล็ดถั่วทุกชนิด เห็ดต่าง ๆ ข้าวกล้อง งา

คาร์โบไฮเดรต
มีคุณสมบัติ ให้พลังงาน ความร้อนแก่ร่างกาย ซึ่ง มีมากในอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล ข้าวต่าง ๆ เผือก มัน ขนมหวาน ผลไม้ที่มีรสหวาน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย

ไขมัน
มีคุณสมบัติ ให้พลังงานความร้อนเช่นเดียวกับ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน จะได้มาจาก ไขมันจากพืช 
เมล็ดผลไม้ ถั่ว งา

วิตามิน และเกลือแร่
ช่วยให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายสมบูรณ์ หากขาดวิตามินเกลือแร่ ร่างกายจะเสื่อมโทรมลง เจ็บป่วยง่าย วิตามิน เกลือแร่ มีมากใน ผักสด ผลไม้ ถั่วงา ข้าว ฯลฯ

น้ำ
จะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสดชื่น และช่วยขับเหงื่อ และของเสียออกจากร่างกาย ร่างกายของคนเราทั่วไป ควรดื่มน้ำบริสุทธิ์ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

นอกจากประโยชน์ของอาหารที่เรากล่าวข้างต้น การกินเจยังส่งผลดีต่อสุขภาพเรามากมายเช่น

1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็น ปกติ

2. เมื่อรับประทานเป็นประจำโลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลงทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใสไม่พร่ามัวร่างกายแข็งแรงรู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด มีสุขภาพพลานามัยดี

3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์

4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้แก่
- สารเคมี ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง สารดีดีที
- มลภาวะและก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ซึ่งแพร่กระจายปะปนไปในอากาศที่เราหายใจอยู่เป็นประจำและยังพบ ว่ามีปะปนอยู่ในแหล่งน้ำดื่มด้วย

5. กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และในการทำสงคราม สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ

6. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดาสารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ในบรรดาผู้ที่กินอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฏโดยเฉพาะโรค ที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าส์ โรคเบาหวานฯลฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ

credit: sanook

กินช้าๆ สร้างหุ่นสวยทันใจ

อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต แนะนำให้เคี้ยวอาหารคำละ 50 ครั้ง ล่าสุด มีงานวิจัยพบว่า กินอาหาร 1 คำ เคี้ยว 40 ครั้ง ช่วยลดน้ำหนักได้! โดย Harbin Medical University ประเทศจีน ศึกษาวิจัยพบว่า การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดช่วยลดระดับฮอร์โมนเกรลิน (ghrelin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญ ที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกหิว


นักวิจัยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม จากนั้นให้กลุ่มแรกเคี้ยวอาหาร 15 ครั้งก่อนกลืน ส่วนกลุ่มที่สองเคี้ยวอาหาร 40 ครั้งก่อนกลืน หลังตรวจเลือดพบว่า อาสาสมัครกลุ่มหลังมีระดับฮอร์โมนเกรลินน้อยกว่า ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่า จึงกินอาหารน้อยลง ทั้งยังพบอีกว่า อาสาสมัครที่มีรูปร่างอ้วน ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมกลืนอาหารเร็ว เนื่องจากใช้เวลากินอาหารน้อยกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ

ฉะนั้น หากคิดจะลดน้ำหนัก ไม่เพียงต้องควบคุมปริมาณอาหาร แต่ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดตามคำแนะนำ พร้อมกับกินอาหารให้ช้าลง ตามขั้นตอนต่อไปนี้
• ตักอาหารใส่จานในปริมาณที่กินแล้วอิ่มพอดี
• พิจารณาอาหารในจาน กำหนดสติว่ากำลังจะกินอาหาร แล้วจึงตักใส่ปาก
• เคี้ยวอาหารช้าๆ โดยพยายามเคี้ยวให้ได้อย่างน้อยคำละ 40 ครั้งก่อนกลืน
• ตัก เคี้ยว และกลืนอาหาร อย่างมีสติทุกคำจนหมดจาน
• เมื่อกินอาหารหมดแล้วไม่ควรตักเพิ่ม
• หากรู้สึกอิ่มก่อนกินอาหารหมดจาน ควรหยุดกิน แล้วอย่าลืมลดปริมาณการตักอาหารในมื้อต่อไป เคี้ยวให้ละเอียดลดหุ่นสวยจะยิ่งได้ผลดี เมื่อกินอาหารชีวจิต โดยเฉพาะสูตร 2 ค่ะ

credit: sanook

สุขง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ความสุขอยู่รอบๆ ตัวเรา เพียงแต่ต้องมองให้ทั่ว แล้วจะรู้ว่า ความสุขหาได้ง่ายนิดเดียว


ใช้วันนี้ให้คุ้มค่า เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต หากเกิดอะไรจะได้ไม่เสียใจว่าสายเกินไป!

เขียนบันทึกทุกวัน เขียนเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นไว้เป็นความทรงจำ เขียนเรื่องร้ายๆ ออกไปเพื่อระบาย แล้วจะพบว่า ขจัดเรื่องรกสมองออกไปได้ดีทีเดียว

ปรับไลฟ์สไตล์บ้าง ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำซากทุกวัน จะได้สร้างสีสันให้ชีวิตบ้างไงล่ะ

อย่าให้เรื่องเล็กน้อยมากวนใจ ไม่เห็นจะคุ้มเลยกับการต้องอารมณ์เสียกับเรื่องเล็กน้อยอย่างต้องรอใครนานๆ ฆ่าเวลาด้วยการหาอย่างอื่นทำก็ได้นี่นา

ทำงานยากๆ ให้เสร็จ ถ้ายิ่งผัดวันประกันพรุ่งก็จะยิ่งเหนื่อย ถ้ายังไงก็ต้องทำอยู่ดี รีบทำให้เสร็จ สบายใจ สบายสมอง

Clean & Clear ห้องครัวสกปรกเลอะเทอะ เสื้อผ้าเยอะกองเต็มตู้แต่ไม่ได้ใส่ หนังสือที่ไม่คิดจะอ่านซ้ำ แบ่งไปบริจาคบ้าง นอกจากจะได้บุญแล้วบ้านยังดูโล่ง สบายตามากขึ้นด้วย

บำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว จะมองดอกไม้จากสวน หรือไปซื้อดอกไม้ หรือแม้แต่ผักผลไม้ราคาย่อมเยามาตกแต่งบ้าน จะทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นแน่นอน

ปล่อยใจไปทะเล ทิวทัศน์สุดสายตา ลมพัดสบายๆ เกลียวคลื่นกระทบฝั่ง กับสองเท้าเปลือยเปล่าบนหาดทราย อะไรจะสุขสดชื่นกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

สร้างสรรค์ผลงานเด็ด ไม่ว่าจะเป็นวาดรูป ถักผ้าพันคอ ทำขนมหรืออะไรก็ได้ที่ชอบ รับรองว่าสุขจนลืมเวลา

สูดอากาศบริสุทธิ์ เปิดหน้าต่างกว้างๆ หายใจเข้าให้เต็มปอด เมื่ออากาศเสียถูกขับออก จะรู้สึกโล่งโปร่งสบายอย่างบอกไม่ถูก

ออกไปเดินเล่นบ้าง การออกกำลังเบาๆ จะช่วยเติมชีวิตชีวาให้ตั้งแต่ครั้งแรก ถ้าทำสม่ำเสมอจะทำให้กระปรี้กระเปร่าและรู้สึกดีขึ้นทุกวัน

Movie Relax หาหนังตลกมาดู แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาให้สะใจ

นับวันรอสิ่งดีๆ การตั้งเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ เช่น เสาร์นี้จะไปดูหนังกับหวานใจ แล้วนับวันรอ จะทำให้คุณมีกำลังใจที่จะอยู่กับวันที่น่าเบื่อได้อย่างมีความสุขขึ้น

credit: sanook

รักแล้วต้องหมั่นดูแลหัวใจของกันและกัน

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ที่ก่อเกิดด้วยคำว่ารัก เมื่อใดก็ตามที่ใครคนใดคนหนึ่งรักน้อยลง หรือหมดรัก ความรักของคนสองคนก็คงถึงคราวอวสานเข้าแล้ว หากคุณไม่อยากให้ความรักที่คุณมีต่อคนข้างๆ กายสูญไป ลองหันไปดูแล ใส่ใจกันสักนิดคงไม่เป็นไร เพียงวันละนิดแค่ให้รู้สึกว่าเราไม่ขาดหายไป

   
คำพูดเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณไม่พูด อาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป
ใครหลายคนอาจจะบอกว่าคนเรารักกันไม่ต้องพูดบอกกันให้มากมาย แค่ทำให้เห็นก็พอแล้ว ในความเป็นจริงการพูดบอกรัก พูด "หวง ห่วง คิดถึง" ไม่ยากอย่างที่คิด ขอแค่ให้มันออกมาจากใจของคุณ ออกมาจากความรู้สึกของคุณ คนทุกคนสามารถทำได้ แต่ที่ไม่พูดอาจเป็นเพราะความรู้สึกนั้นยังไม่เกิดกับตัวคุณเองอย่างแท้จริงก็เป็นได้ ลองหันกลับไปสำรวจแล้วคิดไตร่ตรองให้ดีว่า คุณรู้สึกแบบไหน ณ ตอนนี้ ถ้าคุณรัก คิดถึง คุณบอก เขาจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่คุณมี

ปลอบโยนให้กำลังใจกันและกันเมื่อยามท้อแท้
ชีวิตก็ขาดกำลังใจไม่ได้ กำลังใจอาจเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่ให้คุณค่าในด้านความรู้สึกอย่างที่คุณเองไม่คิดมาก่อน....บางคนเมื่อเจอปัญหาท้อแท้หนักหน่วงในชีวิต แต่เดินก้าวผ่านมาได้เพียงแค่ต้องการกำลังใจในชีวิตจากคนข้างกาย แค่คำพูดสั้นๆ ว่า "สู้ๆนะ ไม่เป็นไรนะทุกอย่าเริ่มใหม่ได้ " ปัญหาที่เจอมาจะหนักแค่ไหนก็กลับเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เพราะในใจมันเต็มเปี่ยมด้วยกำลังใจจากคนข้างกาย ยังไงก็สู้ไหว

กิจกรรมเสริมสร้างความสุขในชีวิตรัก
การใช้เวลาร่วมกันเพื่อเป็นการสร้างความสุขทำกิจกรรมร่วมกัน เที่ยวด้วยกัน มีการมอบของ หรือทำอะไรเป็นสิ่งแทนใจให้กัน บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเสริมสร้างความรู้สึกดีๆในชีวิตรักของคุณได้ ทำให้ชีวิตรักคุณไม่จืดชืด ไม่หมดโปรโมชั่น จนกลายเป็นเลิกรากันไปโดยปริยาย จะดีแค่ไหนถ้าหากคุณทำทุกวันให้เป็นเหมือนวันแรกที่คุณจีบกันกระชุมกระชวยทุกวัน ให้รักสดใสทุกวันความสุขล้นเหลือคง ไม่ไปไหนไกล

เติมเต็มส่วนขาดในชีวิตของกันและกัน
ไม่มีใครเกิดมาสมบรูณ์แบบทุกคนย่อมมีสิ่งที่ตัวเองฝัน สิ่งที่ตัวเองปราถนา ถ้าพูดในแง่ของความรู้สึกคุณเป็นคนรักกันคุณควรใส่ใจและมอบสิ่งที่ขาดหายให้แก่คู่ของคุณ(บ้าง) เท่าที่คุณจะทำได้ (แค่คุณพยายามคนรักของคุณก็พอใจแล้ว) คุณควรเติมเต็มกันในสิ่งที่คนใดคนหนึ่งขาดไปให้รักนั้นสมบรูณ์มากขึ้น ไม่ยากเพราะถ้าคุณรักกันคุณต้องรู้ว่าคู่คุณ คนรักของคุณขาดตรงไหนถ้าคุณทำได้คุณเติมเต็มได้ ความรักของคุณจะสมบรูณ์แบบที่สุดจนทำให้คนอื่นๆ อิจฉาเลยทีเดียว

เปิดใจให้กว้าง หามุมมองใหม่ๆในชีวิต
คนเราทุกคนเกิดมาต่างที่ ต่างถิ่น ถูกเลี้ยงดูมาต่างกัน ย่อมไม่แปลกถ้าคนสองคนจะมีความต่างกันในตัวเอง บางคนเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น บางคนเกิดมาในครอบที่ไม่สมบรูณ์ ความรู้สึก หรือมุมมองในเรื่องความรักก็ต่างกัน เมื่อคนสองคนมาเจอมารักกันและยอมรับในความต่างของกันและกันได้ คุณก็ควรจะยอมรับซึ่งกันและกัน ในบางมุมมองที่คุณอาจจะมีความคิดไม่ตรงกัน ควรพูดคุยกันด้วยเหตุและผล และยอมรับในความเป็นจริง อย่าใช้เพียงความคิดส่วนตัวจงเปิดใจให้กว้างยอมรับสิ่งใหม่ที่กำลังเข้ามาในชีวิต คุณเองจะได้พบเจอกับสิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตคุณที่ทำให้คุณมีความสุขกว่าที่คิดไว้ก็ได้

เรื่องราวความรักจะดำเนินต่อไปได้ขึ้นอยู่กับคนสองคน ไม่มีใครตัดสินได้ คุณรักกันแล้วคุณต้องหมั่นดูแล "หัวใจ" ของกันและกันให้ดีนะคะ เพราะสิ่งต่างๆทั้งหมดเหล่านี้ผ่านมาแล้วผ่านไปเลยไม่หวนคืนกลับ คุณไม่สามารถเรียกร้องเอาวันเวลาเก่าๆ กลับคืน ขอแค่วันนี้คุณดูแลใส่ใจกันให้ดี ความรักที่สดใสสวยงามคงรออยู่ไม่ไกล
ของให้ทุกคนมีรักอย่างมีความสุข

credit: sanook

ปัญหาเท้าเหม็นแก้ได้ง่ายๆแค่นี้เอง

ความจริงเกี่ยวกับเท้า
เท้ามีต่อมเหงื่ออยู่มากกว่า 250,000 ต่อม หรือเท่ากับ 3,000 ต่อมต่อตารางนิ้ว ซึ่งเมื่อเทียบต่อพื้นที่ผิวหนังหนึ่งนิ้วพบว่า มีต่อมเหงื่ออยู่มากกว่าต่อมอื่นๆ เหงื่อที่ถูกผลิตออกมามากมายทำให้ผิวที่เท้าอ่อนนุ่ม ถ้าไม่มีเหงื่อ ผิวก็จะแห้งแตก ทำให้เจ็บเวลาเดิน


ต่อมเหงื่อที่เท้าต่างจากต่อมเหงื่อบริเวณอื่นของร่างกาย ต่อมเหงื่อที่เท้าผลิตเหงื่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะในช่วงอากาศร้อน หรือระหว่างออกกำลังกาย และเมื่อเท้าสามารถผลิตเหงื่ออกมาได้ถึงสัปดาห์ละ 4.5 ลิตร ทำให้เกิดความชื้นมากมายกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่อยู่ในจุดซ่อนเร้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหา
เหงื่อไม่ได้มีกลิ่นเหม็น แต่แบคทีเรียที่อยู่บนผิวต่างหากที่เป็นต้นตอของกลิ่นอับชื้น เท้าซุกซ่อนอยู่ในรองเท้าตลอดวัน นั่นอาจทำให้อุณหภูมิที่เท้าพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยกินของเสียที่อยู่ในเหงื่อและอินทรีย์วัตถุอื่นๆ ที่อยู่ในถุงเท้าและรองเท้า ยิ่งแบคทีเรียขยายพันธุ์มากเท่าไร กลิ่นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

ป้องกันได้อย่างไร
ล้างเท้าให้สะอาด ล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ห้ามใช้น้ำร้อนเด็ดขาด ใช้หินพัมมิซขัดผิวหนังเท้าที่หยาบกร้านออก เพราะผิวที่ตายแล้วเหล่านี้จะเป็นจุดอับชื้น ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี ดังนั้นการเช็ดเท้าให้แห้งสนิทจึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรโรยแป้งทาตัวให้ทั่วเท้าและซอกเท้า
พักเท้า ไม่ควรใส่รองเท้าที่คับเกินไป เพราะจะทำให้เหงื่อออกมากขึ้น ดังนั้นควรสวมรองเท้าที่มีขนาดพอดีกับเท้า และหาโอกาสให้เท้าได้พักบ้าง
ปลดปล่อยเท้า เพื่อให้เท้าได้หายใจ ระบายเหงื่อและกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อย่างปลอดโปร่ง ควรถอดรองเท้าและถุงเท้าออก หัดเดินเท้าเปล่าบ้าง
สวมถุงเท้าผ้าฝ้าย ถุงเท้าควรดูดซับน้ำได้ดี ถุงเท้าผ้าฝ้ายเหมาะที่สุด ถุงเท้าที่ทำจากขนสัตว์อุ่นเกินไป ไม่เหมาะกับเท้าที่มีเหงื่อออกมาก หลีกเลี่ยงถุงเท้าในลอน เปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน อย่าสวมถุงเท้าที่สกปรกซ้ำๆ



ซักถุงเท้าอย่างถูกวิธี นำถุงเท้าไปแช่ในน้ำร้อน แล้วค่อยซักกับผงซักฟอก จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซักเสร็จตากให้แห้ง
สวมรองเท้าหนัง อย่าสวมรองเท้าผ้าใบนานๆ เพราะทำจากใยสังเคราะห์ จึงมีอุณหภูมิที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เช่นเดียวกับรองเท้าที่ทำจากพลาสติก
สวมรองเท้าคู่อื่นบ้าง อย่าสวมรองเท้าคู่เดิม 2 วันต่อเนื่องกัน ใช้รองเท้าสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เพื่อให้รองเท้ามีโอกาสแห้ง นำรองเท้าออกมาผึ่งลมอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เก็บรองเท้าที่ไม่ใช้ไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี
ทำความสะอาดรองเท้า ถ้ารองเท้าอับชื้น นำไปผึ่งแดด จนแห้งสนิทจริง ๆ รวมถึงแกะเชือกรองเท้าออกทั้งหมด ยกลิ้นรองเท้าขึ้นเพื่อให้อากาศได้ถ่ายเททั่วถึงทั้งรองเท้าด้านใน ใช้แอลกอฮอล์เช็ดภายในรองเท้า สำหรับรองเท้าที่ซักล้างได้สามารถทำความสะอาดด้วยผงซักฟอก และน้ำร้อนได้ หากทำความสะอาดแล้วยังไม่หายเหม็น โยนรองเท้าคู่นั้นทิ้งซะ
ทะนุถนอมเท้าของคุณ
ล้างเท้าด้วยทีทรีออยล์ หรือน้ำมันสะระแหน่ ช่วยระงับกลิ่นเท้าได้ เพราะมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่พึงระวังหากคุณมีผิวแพ้ง่าย อย่าใช้น้ำมันสะระแหน่ หากคุณกำลังตั้งครรภ์
แช่เท้าในชาดำ (ชา 2 ถุงแช่ในน้ำ 8 ถ้วย) กรดแทนนิกในชาช่วยระงับกลิ่นได้ ขณะเดียวกันชายังมีสรรพคุณเป็นยาสมานแผลด้วย
ใช้สเปรย์ระงับกลิ่นเท้า ฉีดพ่นบริเวณฝ่าเท้าก่อนสวมรองเท้าทุกครั้ง เพื่อกดดันแบคทีเรียที่ออกมากับเหงื่อให้ทำงานไม่สะดวก
ใช้ยาดับกลิ่น ถ้าเท้ามีกลิ่นแรง อาจใช้ยาดับกลิ่นที่มีสารอลูมิเนียม เช่น aluminium chlorohydrate ทาเท้า แล้วสวมถุงเท้าก่อนนอน
เกร็ดความรู้
เหงื่อที่ออกถึงสัปดาห์ละมากกว่า 4 ลิตร ทำให้เท้าของคุณกลายเป็นสวรรค์ของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น

credit: sanook

ข้าวโพดสีม่วง ช่วยต้านมะเร็ง


รู้หรือไม่ว่า ข้าวโพดเหนียวสีม่วงที่มีรสชาติหวานนุ่มลิ้นและเคี้ยวเพลินนั้น มีคุณสมบัติช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็ง และยังช่วยร่างกายสมานแผลและต่อต้านเชื้อโรคอีกด้วย 


ซึ่งในข้าวโพดเหนียวสีม่วงนี้มีสารที่เรียกว่า ‘แอนโทไซยานิน' ที่จะช่วยส่งเสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดง ควบคุมระดับน้ำตาลและช่วยชะลอการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดอีกด้วย นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีคุณค่าทางสารอาหารสูงอีกด้วยนะคะ เรียกได้ว่าสาวๆ คนใดที่รักสุขภาพ คงต้องรีบให้ข้าวโพดชนิดนี้เป็นหนึ่งในตัวช่วยบำรุงร่างกายแล้วล่ะค่ะ

credit: snook

สร้างวินัยออมเงินด้วยเงินฝาก


ตั้งแต่เป็นพนักงานเงินเดือน ทำงานมาก็ตั้งหลายปีแล้ว เพิ่งจะมารู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องรู้จักการเก็บเงินแบบจริงๆ จังๆ เสียที เพราะตอนนี้ระบบการออมเงินของตัวเอง ไม่ค่อยจะสร้างวินัยที่ดีสักเท่าไหร่ ก็เก็บ 1 ส่วน ใช้ 2 ส่วนก็จริงนะ แต่มักจะอดใจไม่ค่อยได้ ที่จะแอบใช้เงินเก็บของตัวเองออกมาใช้จ่ายไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซึ่งกำลังคิดว่าจะฝากประจำเหมือนกัน แต่ก็ติดตรงที่ว่าหากต้องการใช้เงินฉุกเฉินขึ้นมาล่ะจะทำยังไง ในเมื่อฝากยังไม่ครบกำหนด โดยส่วนใหญ่แล้วสามารถถอนออกมาได้จริง แต่ก็เท่ากับปิดบัญชีไปเลย แถมยังไม่ได้ดอกเบี้ยตามกำหนดอีก ที่สำคัญอยากได้ดอกเบี้ยเยอะๆ (แอบงก) ทำให้ฉันต้องมองหาตัวช่วยในการออมเงินอย่างจริงๆ จังๆ (ที่ได้เงินเพิ่มมาด้วย) ชนิดที่ตอบโจทย์ความต้องการของฉันได้อย่างครบครัน
  
ตอบโจทย์ความต้องการด้วย "เงินฝากออมทรัพย์รายเดือน"
ลองศึกษาเรื่องของการฝากเงิน แล้วเจอแพ็คเกจที่น่าสนใจอย่างเงินฝากออมทรัพย์รายเดือน คือ จะต้องฝากเงินให้เท่ากันทุกเดือน จนครบ 24 เดือน แต่หากขาดฝากในเดือนใดเดือนหนึ่ง หรือหลายเดือน เราสามารถนำมาฝากเพิ่มได้ แต่ต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ขาดฝากทั้งหมด สามารถฝากได้รวดเดียวตามที่ขาดฝาก หรือจะทยอยฝากชดเชยเข้ามาภายในระยะเวลาการฝากตามที่กำหนดก็ได้ และเริ่มฝากเงินได้ตั้งแต่ 1,000 - 20,000 บาทต่อเดือน


อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ เรื่องของการถอนเงินก่อนครบกำหนด เราก็สามารถถอนได้ตลอดระยะเวลาการฝาก และไม่จำกัดจำนวนครั้งในการถอน ยกเว้นแค่ว่าอย่าเพิ่งไปรีบถอนตั้งแต่เดือนแรกที่เราฝากก็พอ เพราะจะเท่ากับปิดบัญชีนี้ไปเลย เวลาถอนจะถอนได้ตามจำนวนเงินที่เราฝากแต่ละเดือน หรือหากต้องการมากกว่านั้น ต้องถอนแบบทวีคูณ แล้วก็อย่าลืมฝากเข้าไปให้ครบเหมือนเดิมด้วย เพราะเขานับจากจำนวนที่ฝากให้ครบ 24 เดือน และสามารถผ่อนผันต่อให้อีก 2 เดือนได้ด้วย
และที่สำคัญสำหรับฉัน คือได้ดอกเบี้ยสูงถึง 4% ต่อปีเลยแต่ต้องฝากให้ครบกำหนดเท่านั้นเอง แต่ถ้าปิดก่อนครบกำหนดแล้วล่ะก็ ดอกเบี้ยที่จะได้รับนั้นจะกลายเป็นดอกเบี้ยออมทรัพย์ทันทีนะ ส่วนเรื่องการเสียภาษีดอกเบี้ยก็ไม่ต้องกังวล เพราะว่าหากดอกเบี้ยเงินฝากต่อปีไม่เกิน 20,000 บาทก็จะไม่เสียภาษี

ตัวอย่าง
เดือนแรกที่เปิดบัญชี จะฝาก 3,000 บาท เดือนต่อๆ ไปก็ต้องฝากด้วยยอด 3,000 บาท จนครบกำหนด 24 เดือน เราก็จะได้เงินก้อน 72,000 บาท + ดอกเบี้ย 4% = ประมาณ 2,880 บาท (***กรณีที่ไม่ได้ขาดฝากและไม่มีการถอน)

 

เมื่อเราต้องการใช้เงินแบบฉุกเฉิน ก็ให้ถอนเงินออกมาตามกำหนดที่เราฝากต่อเดือนคือ 3,000 บาท หรือ 6,000 บาท (ถอนแบบทวีคูณ โดยไม่สามารถถอนออกมาแบบมีเศษได้) และสามารถถอนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่หากเราขาดฝากเดือนใดเดือนหนึ่ง สามารถนำฝากเพิ่มให้ครบจำนวนที่ขาดไปได้ เช่น เดือนที่ (งวด) 3 เราขาดฝากไป เราสามารถนำไปฝากเพิ่มในเดือนถัดไปได้ (เดือนที่ 4)

 

ฉันชอบแพ็คเกจการออมของธนาคารไทยเครดิต "ออมทรัพย์รายเดือนเพิ่มค่า Up to you" เพราะมีพอยท์สำคัญอยู่ที่จะฝากจะถอนก็ทำได้ตามใจเรา และได้ดอกเบี้ยสูงสมใจ เหมาะกับพนักงานเงินเดือนอย่างเราๆ ที่ต้องการออมเงินให้ได้เป็นก้อน นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกด้วยการฝากเงินผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กว่า 1,400 แห่ง ด้วยบัตรฝากเงินทันใจได้อีกด้วย

credit: snook